"ดนตรี" สื่อการเรียนรู้ที่ดีของลูกรัก/ดร.แพง ชินพงศ์
กิจกรรมดนตรีมีประโยชน์อย่างมากกับชีวิตของคนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งเพื่อให้เกิดความรื่นรมย์ สนุกสนาน ครึกครื้น ช่วยผ่อนคลายความเครียด อีกทั้งมีการยอมรับกันอย่างแพร่หลายด้วยว่า ดนตรีมีประโยชน์ในวงการการศึกษา วงการศาสนา และวงการแพทย์ เช่น การใช้ดนตรีเพื่อบำบัดโรคภัยต่างๆ ซึ่งศาสตราจารย์ Carl E. Seashore นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Iowa ได้กล่าวว่า เสียงดนตรีสามารถกระตุ้นมนุษย์ได้ทั้งร่างกายและจิตใจ
ดนตรี ประกอบด้วย ระดับเสียง ทำนอง จังหวะและเสียงประสาน ซึ่งแต่ละส่วนต่างก็มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพและการเรียนรู้ของลูกได้ ดังนี้
1.ระดับเสียง (Tone) หมายถึง เสียงของเครื่องดนตรีและเสียงของผู้ร้อง ระดับเสียงดนตรีที่เหมาะจะให้ลูกฟังต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ดังหรือ เสียงไม่สูงจนเกินไป เพราะจะเกิดเป็นผลเสียแก่ลูกได้ ซึ่งหากให้ลูกฟังดนตรีที่มีระดับเสียงที่สูงมากเกินไป จะทำให้เด็กเกิดความเครียดอีกทั้งส่งผลให้ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวได้ และหากให้ลูกฟังดนตรีที่มีระดับเสียงที่ดังมากเกินไป จะมีผลเสียต่อระบบประสาทหูในเรื่องการได้ยินเสียงของลูกอีกด้วย
2. ทำนอง (Melody) หมายถึง ระดับเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เมื่อนำมาเรียบเรียงจะเกิดเป็นทำนองเพลงที่มีความไพเราะแตกต่างกันออกไป โดยทำนองดนตรีที่เหมาะสำหรับลูกมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- ดนตรีที่มีทำนองช้า ช่วยทำให้ลูกเกิดความรู้สึกสบายใจ คลายความเครียด ลดความก้าวร้าว
และ ทำให้เกิดสมาธิ เช่น เพลงช้าทำนองไทยเดิม เพลงช้าทำนองคลาสสิค หรือดนตรีบรรเลงที่มีเสียงธรรมชาติประกอบ เช่น เสียงน้ำไหล เสียงลมพัดเบาๆ เสียงนกร้อง
- ดนตรีที่มีทำนองเร็ว เมื่อ ลูกฟังแล้ว จะรู้สึกกระฉับกระเฉง ร่าเริงแจ่มใส หายง่วงนอน อยากกระโดดโลดเต้น ยักย้ายส่ายสะโพก อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองของลูกให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และพร้อมเปิดรับ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อีกด้วย
3. จังหวะ (Rhythm) ดนตรีที่มีจังหวะเร็ว คือ ดนตรีที่มีความถี่ของจังหวะประมาณ 70-80 BPM ถือเป็นจังหวะที่ช่วยกระตุ้นสมองของเด็กให้รู้สึกคึกคัก ตื่นเต้น สนุกสนาน เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้ได้อย่างดี ดนตรีที่มีจังหวะช้า คือ ดนตรีที่มีความถี่ของจังหวะประมาณ 60 BPM (ความถี่ของจังหวะเคาะมือ 60 ครั้งต่อนาที) ถือเป็นจังหวะที่ช่วยให้สมองเกิดการผ่อนคลายและมีสมาธิ
4. เสียงประสาน (Harmony) หมายถึง การบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิดที่มีเสียงแตกต่างกัน แต่เมื่อมาเล่นร่วมกันแล้วเกิดเป็นเสียงดนตรีที่มีทำนองไพเราะน่าฟัง เช่น วงออเคสตร้า วงมโหรีปี่พาทย์ และยังหมายถึงการร้องเพลงด้วยกลุ่มนักร้องที่ร้องเพลงด้วยระดับเสียงที่แตก ต่างกัน แต่เมื่อมาร้องเพลงร่วมกันแล้วเกิดเป็นเพลงไพเราะที่มีเสียงผสมกลมกลืนกัน อย่างลงตัว ซึ่งการให้ลูกได้ฟังเสียงร้องและเสียงดนตรีที่ประสานเสียงกันอย่างลงตัวนั้น มีประโยชน์ในการช่วยให้ลูกได้เรียนรู้การแยกแยะความเหมือนและความแตกต่างของ เสียงร้องเพลงและเสียงของเครื่องดนตรี ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมองของลูกในเรื่องของการคิดวิเคราะห์และการรู้จักแยกแยะ ความแตกต่างและความเหมือนของสิ่งต่างๆได้ดี
กิจกรรมดนตรีสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของลูกรัก ได้ดังนี้
1. ฟังดนตรี การ ฟังเป็นทักษะเริ่มต้นในการทำกิจกรรมดนตรี เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่ทักษะดนตรีในด้านอื่นๆ ได้แก่ การร้องเพลง การเล่นดนตรี การเต้น การรำ การอ่านโน้ตดนตรีและการสร้างสรรค์งานดนตรี นอกจากนี้การฟังดนตรีทำให้ลูกได้ผ่อนคลาย ทั้งยังเกิดสมาธิ ซึ่งสมองที่ผ่อนคลายจะทำให้เกิดความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดี ทั้งยังช่วยเรื่องความจำได้มากด้วย
2. ร้องเพลง การร้องเพลงเป็นการช่วยพัฒนาสมองในส่วนของทักษะการคิดในด้านภาษาจากการจดจำ และแปลความหมายของเนื้อเพลงนั้นๆ กิจกรรมการร้องเพลงจึงช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ด้านการใช้ภาษาได้มาก เช่น ถ้าร้องเพลงภาษาต่างประเทศลูกก็สามารถเรียนรู้คำศัพท์ภาษาต่างๆได้ เช่น เพลงฉันรักเธอ(จากหนังสือซีดีเพลงพหุปัญญา) ที่มีหลายภาษาอยู่ในเพลง ลูกจะได้เรียนรู้ว่าคำว่า "ฉันรักเธอ" ในภาษาต่างๆ
3. กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย เด็กๆทุกคนชอบกิจกรรมการเคลื่อนไหว เพราะเป็นกิจกรรมที่ตอบสนองต่อธรรมชาติของเด็กที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง กิจกรรมการเคลื่อนไหวทำให้ลูกมีความสุขสนุกสนาน ซึ่งเมื่อลูกรู้สึกสนุก สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข หรือสารเอ็นโดฟิน ออกมา ซึ่งทำให้ลูกอารมณ์ดี ส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว นอกจากนี้กิจกรรมการเคลื่อนไหวยังมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการทางด้าน ร่างกายของลูกโดยตรงด้วย เพราะเมื่อลูกเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอก็จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลัง
4. เล่นดนตรี การให้ลูกเล่นเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดีด สี ตี เป่าหรือเคาะ จะส่งผลต่อการทำงานของสมองของลูกอย่างหลากลาย ทั้งเรื่องการใช้สมองในการคิดวิเคราะห์แยกแยะความแตกต่างระหว่างเครื่อง ดนตรีแต่ละชนิด การเรียนรู้เรื่องโน๊ต ทำให้ลูกมีความจำที่ดี และการเล่นดนตรีในทำนองที่หลากหลายหรือคิดทำนองเอง ช่วยฝึกในเรื่องของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีทีเดียว
ดนตรี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งยังเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีต่อการพัฒนาศักยภาพของลูกรักในด้านต่างๆ ทั้งช่วยให้มีความจำที่ดี รู้จักการคิดวิเคราะห์ การใช้จินตนาการ นอกจากนี้ หากมีโอกาสคุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ทำกิจกรรมดนตรีร่วมกับผู้อื่น เช่น ให้ลูกตั้งวงดนตรีเล่นกันกับเพื่อน เพื่อฝึกการเข้าสังคมและฝึกการแก้ปัญหาได้อย่างดีด้วย เมื่อเห็นประโยชน์เช่นนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่จึงควรนำกิจกรรมดนตรีมาใช้กับลูก ให้ลูกได้มีความผูกพันกับดนตรี เพราะอย่างน้อยดนตรีก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครอย่างแน่นอน
บทความจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ / life & family ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม 2553
ภาพจาก http://www.mothersdigest.in.th/
|